สกสว. เปิดเวทีรับมือเอลนีโญทำพิษน้ำแล้งยาว นักวิจัยแนะจัดการเชิงรุกลดความเสี่ยงเชิงระบบ

สกสว. เปิดเวทีรับมือเอลนีโญทำพิษน้ำแล้งยาว นักวิจัยแนะจัดการเชิงรุกลดความเสี่ยงเชิงระบบ

นักวิจัยชี้ปีนี้ยังไหวแต่กังวลจะเกิดภัยแล้งระยะยาว แนะการจัดการเชิงรุกแบบบูรณาการและจัดการความเสี่ยงเชิงระบบ ขณะที่กรมชลประทานเร่งปรับตัวและวางแผนบริหารจัดการรองรับน้ำให้เพียงพอและมีคุณภาพดี

รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานเปิดการแถลงข่าว “การจัดการน้ำภายใต้ปรากฏการณ์เอลนีโญ 2566-2570” ณ ห้องประชุม 1 สกสว. โดยมีคณะวิจัยและผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและภูมิอากาศ ร่วมนำเสนอการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ แนวโน้มของสภาพน้ำท่า และทางออกของการจัดการปัญหาด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) เพื่อรองรับและปรับมือกับความท้าทายใหม่ของประเทศ ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการวิจัยและสร้างนวัตกรรมในการตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง โดยภาพแรกจะต้องคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นและมองไปข้างหน้าที่มีความซับซ้อน มีเครือข่ายองคาพยพเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในระดับพื้นที่

ทั้งนี้ สภาพอากาศและแนวโน้มของปริมาณฝนจากนี้ไป ดร.ชลัมภ์ อุ่นอารีย์ นักวิจัยศูนย์ภูมิอากาศ กองพัฒนาอุตุนิยมวิทยา กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า จากการใช้แบบจำลอง 7+1 คาดการณ์ว่ามีโอกาสจะเกิดเอลนีโญในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยในช่วงปี 2023-2028 จะเกิดปริมาณฝนน้อยกว่าค่าปกติทำให้เกิดความแห้งแล้ง ในปี 2025 จะค่อนข้างรุนแรงในภาคใต้ และในปี 2028 จะเกิดความแห้งแล้งในบริเวณกว้าง อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำอย่างเดียวไม่ได้บอกถึงความแห้งแล้ง จึงได้ศึกษาปริมาณน้ำฝนที่สัมพันธ์กับน้ำท่า รวมถึงหาความสัมพันธ์ของปริมาณน้ำท่ากับความชื้นในดิน 3 เดือนล่วงหน้า เพื่อการเตรียมตัวรับมือ

เช่นเดียวกับ ดร.กนกศรี ศรินนภากร หัวหน้างานภูมิอากาศและสภาพอากาศ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) กล่าวว่า สสน.ใช้แบบจำลองเชิงตัวเลขในการคาดการณ์สภาพอากาศในระยะสั้น 7 วัน รายฤดูกาล และศึกษาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเพื่อวางแผนระยะยาวให้ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ โดยพัฒนาเทคนิคใช้ machine learning ประยุกต์ใช้กับการคาดการณ์ระยะยาว 5 ปี เช่นเดียวกับการคาดการณ์ฤดูกาล ทั้งนี้ผลกระทบจากเอนโซ่ (เอลนีโญและลานิญา) จะต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น ปัจจัยทางทะเล ลมมรสุม มหาสมุทรทั้งสองฝั่งทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย โดยมีแนวโน้มว่า สภาพอากาศรุนแรงจะเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น โดยคาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จะเกิดเอลนีโญต่อเนื่อง ทำให้ฝนน้อยและเกิดความแห้งแล้ง ดังนั้นการเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ด้านสภาพน้ำท่าและแนวโน้มว่าจากการประเมินปริมาณน้ำต้นทุนสำหรับฤดูแล้งปี 2566/67 ผศ.ดร.ไชยาพงษ์ เทพประสิทธิ์ และ ผศ.ดร.จุติเทพ วงษ์เพ็ชร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คาดว่า ภาพรวมน้ำต้นทุนจะมีปริมาณน้ำไหลเขาอ่างเก็บน้ำรวมเท่ากับ 11,202 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีปริมาณน้ำใช้การของเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์รวมกัน 10,889 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งการพยากรณ์ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำและปริมาณที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากแบบจำลองร่วมกับข้อมูลฝนพยากรณ์ล่วงหน้า 6 เดือน พบว่า เขื่อนภูมิพล มีแนวโน้มประมาณ 7,987 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือมากกว่าค่าเฉลี่ย 23 ปี คิดเป็นร้อยละ 44 แต่เขื่อนสิริกิติ์มีแนวโน้มประมาณ 3,216 ล้านลูกบาศก์เมตร น้อยกว่าค่าเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 46 และพยากรณ์น้ำท่าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติน้อยกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 15 ปี คิดเป็นร้อยละ 28

ส่วนการประเมินผลกระทบระยะยาวของปรากฏการณ์เอลนีโญโดยใช้ปีตัวแทนในการประเมินปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำ พบว่าเอลนีโญอาจส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการน้ำต่อเนื่องในระยะยาวได้ ผลจากแบบจำลองเป็นที่ชัดเจนว่าน้ำท่าตามธรรมชาติมีแนวโน้มลดลง อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ยังมีความผันแปร โดยรวมแล้วในปีนี้ยังไหวมีน้ำเพียงพอสำหรับฤดูแล้งปีหน้า แต่ก็กังวลในระยะยาวว่าผลของเอลนีโญจะรุนแรงเพียงใด หากรุนแรงมากจะทำให้น้ำที่เติมสู่แหล่งน้ำน้อยลง กระทบต่อการปลูกข้าวนาปรัง จึงต้องติดตามทิศทางความรุนแรงของเอลนีโญว่าจะเข้มข้นขึ้นหรือลดลง

สอดคล้องกับ ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการ สำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน ที่กล่าวว่า ลุ่มน้ำเจ้าพระยามีฝนน้อย การใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำในขณะนี้เทียบเท่ากับการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง ปีนี้ฝนทิ้งช่วงจะตกในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม ดังนั้นต้องกำหนดแนวทางการจัดการน้ำในสภาพเอลนีโญว่า โดยเก็บกักน้ำเต็มประสิทธิภาพในแหล่งน้ำทุกประเภทช่วงปลายฤดูฝนให้มากที่สุด คาดจะมีน้ำใช้การ 9,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ต้องวางแผนบริหารจัดการคุณภาพน้ำ น้ำอุปโภคบริโภคต้องไม่ขาดแคลน สิ่งที่แปรผันคือน้ำภาคการเกษตร โดยวางแผนพื้นที่เพาะปลูกในลุ่มน้ำเจ้าพระยา รณรงค์ปลูกพืชใช้น้ำน้อยหรือการพักนา

โดยมี 6 แนวทางในการรับมือช่วงฤดูแล้ง คือ บริหารน้ำในอ่างให้อยู่ในเกณฑ์บริหารจัดการน้ำและเพียงพอกับความต้องการ จัดหาแหล่งน้ำสำรองกรณีเสี่ยงภัยแล้ง ตรวจสอบความต้องการใช้น้ำทุกกิจกรรมตามลำดับความสำคัญ จัดสรรตามกิจกรรมหลัก สำรองน้ำเก็บกักไว้ต้นฤดูฝนกรณีฝนทิ้งช่วง และประเมินผลและประชาสัมพันธ์ข่าวสารให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ

รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ประธานแผนงานวิจัยเข็มมุ่งด้านบริหารจัดการน้ำ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เผยว่า ประเทศไทยจะพบกับวัฏจักรน้ำท่วมน้ำแล้งไปตลอด จึงต้องใช้การจัดการความเสี่ยงเชิงระบบและระยะยาวมากขึ้น ใช้ข้อมูลข่าวสารที่พยากรณ์ให้เป็นประโยชน์ ปรับการช่วยเหลือเชิงเดี่ยวเป็นการช่วยปรับตัว ยกระดับแบบเฉพาะเจาะจงและยั่งยืนมากขึ้นภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและด้อยโอกาส ซึ่งจำเป็นต้องมีนโยบายสนับสนุนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำและอาชีพกับประชาชนระดับรากหญ้า นอกจากนี้ควรมีมาตรการเพิ่มแหล่งน้ำขนาดเล็กของชุมชนเพื่อเป็นแหล่งน้ำสำรอง โดยพัฒนาทีมงานในระดับพื้นที่ร่วมกับ อปท. ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรจากจังหวัดและหน่วยงานเทคนิค ทั้งนี้การจัดการภัยแล้งแบบบูรณาการ ต้องติดตาม พยากรณ์ และแจ้งเตือน ประเมินความเปราะบางและผลกระทบ มีมาตรการช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบ และการจัดการเชิงรุกตามความเสี่ยงของพื้นที่

Loading

Share this post


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า