เอ็นไอเอ เปิดกลยุทธ์ “Groom–Grant–Growth–Global” ขับเคลื่อนไทยสู่ชาตินวัตกรรม พร้อมเผยหนึ่งปีกับผลสำเร็จภายใต้บทบาท “ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม”

เอ็นไอเอ เปิดกลยุทธ์ “Groom–Grant–Growth–Global” ขับเคลื่อนไทยสู่ชาตินวัตกรรม พร้อมเผยหนึ่งปีกับผลสำเร็จภายใต้บทบาท “ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม”

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดกลยุทธ์ การขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ชาตินวัตกรรม “NIA Focal Conductor: Leading Thailand to Innovation Nation” ภายใต้แนวคิด Groom – Grant – Growth – Global พร้อมเปิดตัวทีมบริหารผู้ร่วมผลักดันระบบนวัตกรรมประเทศไทยให้เข้มแข็ง ทั้งมิติการสนับสนุนเงินทุน การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการนวัตกรรม การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรม และการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเต็มรูปแบบ เพื่อปักหมุดเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งและสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการนวัตกรรมไทย สามารถเติบโตสู่การขยายผลการลงทุนทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ นำไปสู่การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2567

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า NIA เดินหน้าในบทบาท “ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม (Focal Conductor)” ที่เชื่อมการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการนวัตกรรมในทุกมิติ โดยมี 5 เป้าหมายหลัก ได้แก่ 1. สร้างและเชื่อมโยงแพลตฟอร์มพัฒนา IBEs 2. สร้างนวัตกร และ IBEs ผ่าน NIA Academy 3. สร้างระบบนวัตกรรมไทยและระบบนิเวศนวัตกรรมให้เข็มแข็ง 4. ยกระดับนวัตกรรมไทยในดัชนีนวัตกรรมโลก และ 5. ปรับบทบาท NIA ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นใน 5 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ กลุ่มเกษตร อาหาร และสมุนไพรมูลค่าสูง กลุ่มสุขภาพและการแพทย์ กลุ่มพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า สิ่งแวดล้อม กลุ่มการท่องเที่ยว และกลุ่มซอฟต์พาวเวอร์

การดำเนินงานช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ภายใต้แนวความคิด Groom–Grant-Growth NIA ได้พัฒนาขีดความสามารถและศักยภาพทางนวัตกรรมโดยผ่าน NIA Academy ที่มีหลักสูตรร่วมกับพันธมิตรจากทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารออมสิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สมาคมไทย-จีน เอ็กแลป ดิจิทัล จำกัด องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ ฯลฯ การสร้างนวัตกรภูมิภาคและนักพัฒนาเมืองนวัตกรรม การส่งเสริมความสามารถเชิงธุรกิจของผู้ประกอบการทั้งการพัฒนาแผนธุรกิจนวัตกรรมในภูมิภาคและแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง InnoMall การพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นผ่านกิจกรรมสตาร์ตอัปลีค ศูนย์กลางสตาร์ตอัประดับโลกที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับสตาร์ตอัป ทั้งการให้คำปรึกษา เครือข่ายนักลงทุน และสมาร์ตวีซา ซึ่งเมื่อต้นปี “ยูนิฟาร์ส” โปรตีนจากเฟจธรรมชาติเพื่อควบคุมแบคทีเรียก่อโรค หนึ่งในสตาร์ตอัปด้านเกษตรที่ผ่านการบ่มเพาะองค์ความรู้และได้รับเงินทุนเริ่มต้นจาก NIA สามารถขยายผลจนได้รับการร่วมลงทุนจากเอดีบี เวนเจอร์ส และอินโนสเปซ (ประเทศไทย) กว่า 53 ล้านบาท

การยกระดับกลไกการสนับสนุนทางการเงิน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการนวัตกรรม เช่น กลไกการขยายผลนวัตกรรมในระดับภูมิภาคสู่ตลาด กลไกการสนับสนุนที่ปรึกษาเพื่อพัฒนานวัตกรรม และกลไก Corporate CO–Funding ทั้งนี้ NIA ได้สนับสนุนโครงการนวัตกรรมรายภูมิภาคจำนวน 319 โครงการ วงเงินสนับสนุน 566.88 ล้านบาท และได้ลงทุนร่วมกับแหล่งเงินทุน (Listed investor) ภายใต้กลไก Corporate co-funding 141.43 ล้านบาท และคาดการณ์มูลค่าธุรกิจมากกว่า 1,750 ล้านบาท รวมถึงการส่งเสริมและเผยแพร่ตัวอย่างความสำเร็จทางนวัตกรรมผ่านโครงการนิลมังกร

ซึ่งปีนี้ต่อยอดเป็นนิลมังกร 10X ที่เน้นสร้างผู้ประกอบการนวัตกรรมคุณภาพสูงให้เข้าสู่ตลาดทุน โดยตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ใน 3 ปี และการจัดทำโปรแกรมเร่งการเติบโตของสตาร์ตอัปใน 4 ด้าน ได้แก่ เทคโนโลยีอาหาร เทคโนโลยีเกษตร เทคโนโลยีด้านสุขภาพ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การนำผู้ประกอบการนวัตกรรมที่มีศักยภาพเข้าร่วมงานนิทรรศการในต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสการขยายตลาดระดับสากล เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น ฯลฯ นอกจากนี้ NIA ยังให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนระบบนวัตกรรมด้วยข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มบริการข้อมูลนวัตกรรม “Thailand Innovation Portal” ที่มีข้อมูลนวัตกรรมกว่า 90,000 รายการ และมีผู้ใช้งานกว่า 3,600 คน

“สำหรับก้าวต่อไปภายใต้บทบาท “ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม (Focal Conductor)” NIA จะขยายผลจากแนวคิด Groom-Grant-Growth โดยเพิ่ม Global เพื่อมุ่งต่อยอดการส่งเสริมผู้ประกอบการนวัตกรรมให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านโครงการและความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตร เพื่อขยายกลุ่มผู้ประกอบการนวัตกรรมที่มีศักยภาพให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น เร่งผลักดัน พ.ร.บ. สตาร์ตอัป ส่งเสริมให้เกิดร่วมลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ จากแหล่งเงินทุนทั้งภาครัฐและเอกชน จัดทำโปรแกรมเร่งการเติบโตของสตาร์ตอัปในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น การแพทย์ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โปรแกรมส่งเสริมการขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ รวมถึงการสร้างเครือข่ายนวัตกรรมประเทศไทยให้เข้มแข็งและพร้อมร่วมขับเคลื่อนนวัตกรรมไปกับ NIA โดยตั้งเป้าหมายในการผลักดันประเทศไทย สู่การเป็นชาตินวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับในเวทีโลก”

ดร.สุรอรรถ ศุภจัตุรัส รองผู้อำนวยการ ด้านเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ที่ผ่านมา NIA เร่งสร้างบริษัทนวัตกรรมให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น และผลักดันให้โครงสร้างธุรกิจมีความแข็งแกร่ง โดยมี “แหล่งเงินทุน” เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กลุ่มเอสเอ็มอี สตาร์ตอัป วิสาหกิจเพื่อสังคม และวิสาหกิจชุมชน เข้าถึงได้ง่ายและได้รับการจัดสรรอย่างทั่วถึง

โดยในปีนี้ NIA ได้พัฒนากลไกการสนับสนุนเงินทุนรูปแบบใหม่ เพื่อเติมเต็มและตอบโจทย์การขยายผลธุรกิจนวัตกรรมให้เติบโตและไปสู่ตลาดได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น ผ่าน 7 กลไกหลัก ได้แก่

  1. กลไกการขยายผลนวัตกรรมในระดับภูมิภาคสู่ตลาด สำหรับการทดสอบตลาด การปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการนวัตกรรม ให้สามารถขยายผลเชิงพาณิชย์และฐานลูกค้าใหม่
  2. กลไกทุนโครงการนวัตกรรมแบบมุ่งเป้า สำหรับทดสอบความเป็นไปได้ทางการตลาดของผลิตภัณฑ์หรือบริการนวัตกรรม การปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการนวัตกรรม ให้ตอบโจทย์ตลาดเป้าหมายมากขึ้น การประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และการลงทุน
  3. กลไกการสนับสนุนที่ปรึกษาเพื่อพัฒนานวัตกรรม สำหรับจ้างที่ปรึกษา การปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กรด้านกลยุทธ์ธุรกิจ การตลาด ทรัพย์สินทางปัญญา การบัญชี การเงินและการลงทุน การค้าระหว่างประเทศ
  4. กลไกการทดสอบผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง สำหรับจ้างที่ปรึกษา การปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กร การวิเคราะห์ทดสอบ การทวนสอบและประเมินผล เพื่อขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์หรือขอรับรองมาตรฐานที่สำคัญต่อการเติบโตทางธุรกิจ
  5. กลไกการขยายธุรกิจนวัตกรรม เพื่อทดสอบนวัตกรรมในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สำหรับขยายธุรกิจสู่เชิงพาณิชย์ของธุรกิจนวัตกรรมในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย พร้อมกับการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และการดำเนินธุรกิจ
  6. กลไกสนับสนุนดอกเบี้ยบางส่วนเพื่อเสริมสภาพคล่อง สำหรับเพิ่มสภาพคล่องเพื่อการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรม
  7. กลไกการสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม ได้มีโอกาสเติบโตและขยายตลาดโดยการร่วมมือจากแหล่งทุนภาครัฐและเอกชน หรือ Corporate CO – Funding สำหรับสนับสนุนกิจกรรมเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาธุรกิจให้เติบโต เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด การเพิ่มกำลังการผลิต การขยายทีม และการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา และมีกำหนดเงื่อนไขการส่งคืนเมื่อโครงการประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์

คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม กล่าวว่า นอกจากการสนับสนุนด้านเงินทุนแล้ว NIA ยังมุ่งสนับสนุนด้านการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการนวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรม เพื่อยกระดับผู้ประกอบการนวัตกรรมไทยสู่ตลาดสากล ภายใต้แนวคิด ‘Local to Global’ โดยมี 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่

  1. การสร้างความเข้มแข็งระบบนวัตกรรมระดับภูมิภาค โดยส่งเสริมการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรมทั้งด้านองค์ความรู้ทางด้านธุรกิจ เทคโนโลยี ทรัพย์สินทางปัญญา โรงงานต้นแบบ การเงิน การลงทุน และการตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ผ่านความร่วมมือกับอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ การสร้างย่านนวัตกรรม และเมืองนวัตกรรม
  2. การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไทย ด้วยการสนับสนุนด้านทรัพยากรและการเชื่อมโยงกับตลาด โดยมุ่งเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่นและมีศักยภาพในการเติบโต ได้แก่ กลุ่มเกษตร อาหาร และสมุนไพร กลุ่มสุขภาพและการแพทย์ กลุ่มพลังงาน สิ่งแวดล้อม ยานยนต์ไฟฟ้า กลุ่มการท่องเที่ยว และกลุ่มซอฟต์พาวเวอร์ ตลอดจนพัฒนากำลังคนเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และ เซมิคอนดักเตอร์
  3. การส่งเสริมผู้ประกอบการนวัตกรรมไทยสู่ตลาดสากล สร้างโอกาสการขยายธุรกิจ และโอกาสการระดมทุน เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางนวัตกรรมและการแข่งขันของประเทศ ผ่านการเชื่อมตลาดระหว่างประเทศ การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร และกิจกรรมจับคู่ธุรกิจในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และฮ่องกง

คุณสุพิชญา หลิมตระกูล รองผู้อำนวยการ ด้านยุทธศาสตร์องค์กร กล่าวว่า ในยุคปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล หรือ Digital Transformation เป็นการเพิ่มโอกาสและศักยภาพการบริการผู้ประกอบการนวัตกรรมผ่านดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่ง NIA มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์การรับบริการและการทำงานของบุคลากร ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจสมัยใหม่และวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการปรับตัวทางดิจิทัลใน 5 ด้าน ได้แก่

  1. Digital Service ที่เน้นสร้าง Digital Service Journey ควบคู่ Innovation Journey ผ่านโปรแกรม Groom-Grant-Growth ซึ่งจะแบ่งเป็นทั้งภายในองค์กร และผู้รับบริการภายนอก
  2. Digital People พัฒนาบุคลากรให้ทันต่อความเปลี่ยน Digital Literacy ให้เป็น Digital Competency โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก้าวสู่ AI Competency
  3. Digital Connectivity เชื่อมโยงการทำงานและการเข้าถึงบริการทุกที่ทุกเวลา เพื่อตอบโจทย์สังคมและวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่
  4. Digital Compliance ยกระดับมาตรฐานและความปลอดภัยให้ทันสมัยตามแนวทางรัฐบาลดิจิทัล
  5. Digital Data แพลตฟอร์มกลางข้อมูลด้านนวัตกรรม ที่ยกระดับการใช้ประโยชน์ข้อมูลเพื่อธุรกิจนวัตกรรม

Loading

Share this post


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า