เอ็นไอเอเปิดเทรนด์สตาร์ตอัปสายเอไอ – กรีน – การเงิน โตรับปี 2025 พร้อมเดินหน้าหนุนสตาร์ตอัปไทยโตไกลในเวทีโลก
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เผยภาพรวมการเติบโตของสตาร์ตอัปไทย ปี 2024 พบมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเติบโตสะสมเพิ่มถึงร้อยละ 3.3 นับตั้งแต่ปี 2021 และประเทศไทยยังเป็นเมืองที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจสตาร์ตอัปแห่งหนึ่งของโลก ทั้งนี้ ปี 2025 ถือเป็นปีแห่งความท้าทายของธุรกิจสตาร์ตอัปจากทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมการบริโภค และคลื่นเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยกลุ่มเทคโนโลยีที่มีโอกาสและศักยภาพในการเติบโตสูง ได้แก่ 1. เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) 2. เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (GreenTech) เทคโนโลยีสะอาด (CleanTech) และ Climate Tech และ 3. และเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาประเทศไทย มีจำนวนสตาร์ตอัปประมาณ 2,100 ราย แบ่งเป็นระยะ Pre-seed 700 ราย และระยะ Go-to market หรือ Growth 1,400 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สตาร์ตอัปไทยถือว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการระดมทุนในรอบ Seed เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับปีก่อน มีการเติบโตสะสมตั้งแต่ปี 2021 เพิ่มถึงร้อยละ 3.3 ทั้งนี้ ผลการจัดอันดับดัชนีระบบนิเวศสตาร์ตอัปโลก (Global Startup Ecosystem Index) ในปีที่ผ่านมา โดย StartupBlink (ศูนย์กลางข้อมูลด้านระบบนิเวศสตาร์ตอัปที่ครอบคลุมทั่วโลก) ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 54 ของโลก อันดับที่ 4 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของระบบนิเวศสตาร์ตอัปไทย ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่น่าสนใจสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจนี้
ความท้าทายของธุรกิจสตาร์ตอัปที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นมิติด้าน Data Center ที่ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการลงทุน ทั้งจากผู้เล่นไทยและระดับโลก ในฐานะ “ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล” แห่งใหม่ในภูมิภาค โดย 3 ปีที่ผ่านมาขนาด Data Center ของไทยเติบโตกว่าร้อยละ 54 เป็นอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งคาดการณ์ว่าปี 2024 – 2027 ประเทศไทยน่าจะสามารถดึงดูดการลงทุน Data Center ได้เป็นมูลค่าประมาณ 2.6 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังต้องเร่งพัฒนาด้านบุคลากร เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด รวมถึงสร้างความมั่นใจด้านนโยบายในระยะยาว เพื่อดึงดูดการลงทุนและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องไปกับความท้าทายในสังคมยุค AI และการพัฒนาทักษะใหม่ของแรงงาน รวมถึงการมุ่งดำเนินธุรกิจตามแนวคิด ESG ของระบบเศรษฐกิจทั่วโลก เพื่อให้เกิดความยั่งยืนครอบคลุมทุกมิติ
สำหรับแนวโน้มธุรกิจสตาร์ตอัปที่มีโอกาสเติบโตสูงในปี 2025 ทั้งในไทยและต่างประเทศ จะมุ่งเน้นเทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น
1. เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังปฏิวัติวงการธุรกิจอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์ (Generative AI) เนื่องจากสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเข้ามาของระบบเอเจนต์ AI (AI Agentic Systems) ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เอง สามารถจัดการงานที่ซับซ้อน แก้ไขปัญหาที่ต้องใช้ข้อมูลหลายมิติ ซึ่งพบว่า กลุ่มผู้บริหารองค์กรและนักลงทุนมากกว่าร้อยละ 70 ให้ความมั่นใจว่า ระบบ AI Agents จะเป็นเทคโนโลยีสำคัญในองค์กรทั้งเชิงการคิด การผลิต การแก้ปัญหา งานบริการ เร็วต่อทุกความต้องการของตลาด และช่วยลดการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีนัยสำคัญ
2. เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (GreenTech) เทคโนโลยีสะอาด (CleanTech) และ Climate Tech เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรงขึ้น หลายองค์กรให้ความสำคัญกับแนวคิด ESG มากขึ้น รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ทำให้ตลาดเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมทั่วโลก มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละเกือบร้อยละ 25 ตลอดระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า ด้วยโซลูชันใหม่ที่ตอบโจทย์ปัญหาสิ่งแวดล้อมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพลังงานสะอาด การจัดการขยะหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น สตาร์ตอัปที่จะประสบความสำเร็จได้จึงควรสร้างโมเดลธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่กับการทำธุรกิจ
3. เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ FinTech ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นผู้นำในการดึงดูดการลงทุน มีอัตราการระดมทุนในรอบ Seed สูงถึงร้อยละ 26 ซึ่งสูงที่สุดในปี 2567 และเทคโนโลยีบล็อกเชนตามมาที่ร้อยละ 20 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความน่าสนใจของเทคโนโลยีเหล่านี้ ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่สำคัญในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วคือ สตาร์ตอัปต้องมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ การสร้างระบบที่ปรับเปลี่ยนได้รวดเร็วเปรียบเสมือนการสร้างฐานรากที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ทำให้สตาร์ตอัปสามารถเติบโตและขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
ดร.กริชผกา กล่าวเสริมว่า ในปี 2025 ภายใต้บทบาทผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม NIA ยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ตอัปให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดผ่านกลไกและเครือข่ายที่มีอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่ม “Impact Tech” ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับระบบเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์และการยอมรับประเทศไทยในฐานะ “ชาตินวัตกรรม” สำหรับกลกไกการสนับสนุนของ NIA นั้นครอบคลุมทุกระยะตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจจนออกสู่ตลาดในระดับสากลภายใต้แนวคิด Groom – Grant – Growth – Global โดยเริ่มต้นจากกลไกการบ่มเพาะความรู้และสร้างเครือข่าย (GROOM) ผ่านสถาบันวิทยาการนวัตกรรม หรือ NIA Academy ที่มีหลักสูตรร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร และการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านออนไลน์ (MOOCs) และโครงการ Startup Thailand League ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพและความสามารถด้านนวัตกรรมแก่เยาวชนในระดับอุดมศึกษา ให้มีทักษะและมุมมองในการเป็นผู้ประกอบการ พร้อมก้าวเข้าสู่โลกแห่งการเป็นสตาร์ตอัปที่ต้องออกสู่ตลาดจริง การสนับสนุนเงินทุนให้เปล่า (Grant) ในหลากหลายรูปแบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อเอื้อต่อการสร้างสรรค์ธุรกิจนวัตกรรมครอบคลุมทั้งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น แพลตฟอร์มส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ แพลตฟอร์มส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมรายภูมิภาค และทุนสำหรับนวัตกรรมเพื่อสังคม เช่น โครงการหมู่บ้านนวัตกรรม โครงการนวัตกรรมสำหรับเมืองและชุมชน เป็นต้น
สำหรับกลุ่มที่ต้องการเร่งการเติบโตเพื่อออกสู่ตลาด NIA มีการสร้างโอกาสขยายผลเพื่อการเติบโตทางธุรกิจ (GROWTH) ผ่านโปรแกรมบ่มเพาะและเร่งการเติบโตสตาร์ตอัปใน 4 ด้าน ได้แก่ เทคโนโลยีอาหาร (โครงการ SPACE–F) เทคโนโลยีเกษตร (โครงการ AGROWTH) เทคโนโลยีด้านสุขภาพ (Health Tech) และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech) รวมถึงการส่งเสริมและเผยแพร่ตัวอย่างความสำเร็จทางนวัตกรรมผ่านโครงการนิลมังกร ซึ่งมีการต่อยอดเป็นนิลมังกร 10X ที่เน้นสร้างผู้ประกอบการนวัตกรรมคุณภาพสูงให้เข้าสู่ตลาดทุน โดยตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ใน 3 ปี โดยมุ่งขยายและสร้างโอกาสต่อยอดสู่ระดับโลก (Global) ผ่าน Global startup hub ที่จะช่วยส่งเสริมการขยายตลาดไปยังตลาดต่างประเทศ โดย NIA ได้ร่วมเป็นเครือข่ายพันธมิตรกับหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี และประเทศกลุ่มนอร์ดิก เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีกลไกส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบ Corporate Co-Funding ร่วมกับสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือ TVCA ที่จะสนับสนุนเงินลงทุนมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยยังมีหน่วยงานที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ด้วยมาตรการส่งเสริมสตาร์ตอัปที่มีศักยภาพสูง โดยให้เงินสนับสนุน 20 – 50 ล้านบาท กับสตาร์ตอัปในระยะ Pre-Serise A+ ขึ้นไป และกองทุนวันอินโนเวชั่นจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนในงบประมาณภายใต้วงเงิน 1,000 ล้านบาท รวมถึงบีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล ได้จัดตั้ง Beacon Impact Fund ที่เน้นลงทุนด้าน ESG ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 1,200 ล้านบาท นอกจากปัจจัยและกลไกต่าง ๆ ที่ NIA ได้ริเริ่มและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ยังมี “พระราชบัญญัติการพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น” หรือ พ.ร.บ. สตาร์ตอัป ซึ่งจะเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ระบบนิเวศสตาร์ตอัปไทยมีความเข้มแข็ง และเอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ตอัปได้อย่างเป็นรูปธรรม