วช. ดัน Smart Farmer ชูทุเรียนเมืองนนท์ พ้นวิกฤตน้ำเค็มหนุนและน้ำเสีย จากการขยายตัวของชุมชนเมือง
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ มอบหมายให้ ดร.จันทรวิภา ธนะโสภณ ผู้ทรงคุณวุฒิ วช. พร้อมด้วยกลุ่มสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ วช. นำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมโครงการวิจัย เรื่อง “การพัฒนาเกษตรกรไทยสู่ smart farmer (กรณีศึกษาการพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนเพื่อการส่งออก)” โดยมี รศ.ดร.วรภัทร วชิรยากรณ์ สาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้บริหารจัดการโครงการวิจัย และ คุณศิวนาถ เพ็ชรสุวรรณ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ดำรงพงษ์ เพ็ชรสุวรรณ สวนอลิษา ให้การต้อนรับ ณ สวนอลิษา อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ในวันที่ 29 มีนาคม 2566
รศ.ดร.วรภัทร วชิรยากรณ์ ผู้บริหารจัดการโครงการฯ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก วช. ในการดำเนินโครงการพัฒนาเกษตรกรไทยสู่ Smart farmer (กรณีศึกษาการพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน เพื่อการส่งออก) ภายใต้กรอบการวิจัยหลักการเพิ่มผลผลิตด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยคณะนักวิจัยได้ถ่ายทอดนวัตกรรมการผลิตทุเรียนคุณภาพสูงจากการวิจัยและพัฒนาการชักนำรากลอย (Reborn Root Ecosystem : RRE) เป็นนวัตกรรมที่สร้างระบบนิเวศน์ให้มีฮิวมัสและสารคีเลตเพื่อให้รากฝอย (fine root) หาน้ำและแร่ธาตุร่วมกับระบบจุลินทรีย์ในดินอย่างสมดุล และนวัตกรรมการให้น้ำแบบที่ราบลุ่ม ที่ให้น้ำตามการปิดเปิดปากใบของทุเรียน และสภาพน้ำขึ้นน้ำลง เพื่อชักนำให้ทุเรียนสร้างกลิ่นหอม และรสชาติดี ตามเดิมของผลไม้ในเขตราบลุ่มแม่น้ำของนนทบุรีที่มีชื่อเสียง ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน ณ สวนอลิษา จังหวัดนนทบุรี ส่งผลให้ต้นทุเรียนฟื้นจากอิทธิพลน้ำเค็มหนุน และน้ำเสียจากการขยายตัวของชุมชนเมือง มีการออกดอกติดผลและให้ผลผลิตมีคุณภาพที่ดีมาก และยังสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ก่อนทุกแปลงในจังหวัดนนทบุรีอีกด้วย
คุณศิวนาถ เพ็ชรสุวรรณ สวนอลิษา เปิดเผยว่า สวนที่ได้รับมาเป็นมรดกตกทอดมา และคุณแม่ท่านให้รักษาไว้ ทางสวนได้พยายามทำให้ดีที่สุด ก่อนเมื่อปี พ.ศ. 2561 สภาพต้นทุเรียนยังมีสภาพดีให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง จากสภาพแวดล้อม และสภาพอากาศเปลี่ยนไป น้ำที่ใช้รดทุเรียนมีความเข้มสูงมาก 560-800 ppt ทำให้ทุเรียนส่วนใหญ่ใบไหม้ เมื่อแตกยอดใหม่มาใบเล็กและร่วงหล่นไป พร้อมกับการขยายตัวของชุมชนเมืองทำให้น้ำเสียซึมผ่านใต้ดิน ทำให้ต้นทุเรียนทยอยทรุดโทรม เมื่อปลายปี 2564 ทางสวนได้ทราบข่าวว่า ทางจังหวัดนนทบุรี ได้ทำหนังสือไปขอให้ทางกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีนักวิจัยจากหลายสถาบันมาร่วมประชุมกับทางจังหวัดนนทบุรี ภายหลังได้รับการติดต่อประสานงานกับทางทีมวิจัยทุเรียนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.วรภัทร วชิรยากรณ์ และทีมงานนักศึกษาปริญญาโท คุณธนวัฒน์ โชติวรรณ เข้ามาฟื้นฟูสภาพสวนตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมา
ด้วยนวัตกรรมชักนำรากลอย (Reborn Root Ecosystem) และปรับปรุงการให้น้ำด้วยนวัตกรรม Basin Fertigation ทำให้ต้นทุเรียนมีสภาพดีขึ้น ออกติดผลได้ง่าย เป็นธรรมชาติเหมือนในอดีต ที่ทุเรียนออกดอกติดผลเอง ไม่ต้องบังคับน้ำให้ออกดอกเหมือนในปัจจุบัน อีกทั้งยังลดการใช้สารเคมีหรือปุ๋ยไปได้อย่างมาก ทุเรียยังคงมีคุณภาพดี เมื่อได้รับการอบรมจากทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้พบเพื่อนในจังหวัดเดียวกัน อาทิ สวนเสรี คุณอนุสรณ์ กลอยดี ไทรน้อย นนทบุรี กว่า 200 ไร่ สวนเกษตรไฮเปอร์ คุณสุชาติ วงษ์สุเทพ ที่ปราจีน สวนคุณชัยนรินทร์ ธีรเดชไชยนันท์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และสวนลุงเจ๊ก คุณกมล เหลือวิชา จังหวัดศรีสะเกษ ได้นำนวัตกรรมการยกรากลอย RRE ไปฟื้นฟูสวนที่ทรุดโทรมจากโรครากเน่าโคนเน่าแบบถาวร เราจึงได้รวมกลุ่มกันในนาม วิถีทุเรียนอร่อย เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์แล้ว มีคุณชวกร เตโชธรรมสถิต สวนยายช่วยห้วยตาชุ้น อ.ไทรโยค กาญจนบุรี เป็นหัวเรี่ยวแรงในการประสานงานและคอยให้ความช่วยเหลือกลุ่ม วิถีทุเรียนอร่อย กลุ่มมีสมาชิกร้อยกว่าท่านในปัจจุบันและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเอย่างต่อเนื่องในอนาคต
จังหวัดนนทบุรี ถือว่าเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงแหล่งหนึ่งในการปลูกทุเรียน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของคำขวัญประจำจังหวัดนนทบุรี ที่ว่า “พระตำหนักสง่างาม ลือนามสวนสมเด็จ เกาะเกร็ดแหล่งดินเผา วัดเก่านามระบือ เลื่องลือทุเรียนนนท์ งามน่ายลศูนย์ราชการ” ซึ่งแสดงถึงการเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายของทุเรียนนนทบุรีในอดีตได้เป็นอย่างดี โดยมีผู้สันนิษฐานว่า ได้มีการนำเอาทุเรียนเข้ามาแพร่กระจายพันธุ์ในประเทศไทย ราวสมัยของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ราว พ.ศ. 2330 โดยพบหลักฐานจากเอกสารฐานเกษตรกรรม ระบุว่า ทุเรียนแพร่กระจายเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2330 จากภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเมียนมาร์ และเข้ามาทางใต้ของประเทศไทย ต่อมาได้มีการนำเอาพันธุ์ทุเรียนต่าง ๆ เข้ามาปลูกเป็นสวนทุเรียนอย่างแพร่หลายในแถบฝั่งธนบุรี ตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยาและขยายพื้นที่มาจนถึงจังหวัดนนทบุรี ทำให้ตลาดนนทบุรีในอดีตกลายเป็นแหล่งขายทุเรียนที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ และเนื่องจากทุเรียนนนท์มีเนื้อละเอียดนุ่ม รสชาติ และความหลากหลายของสายพันธุ์ กล่าวกันว่า ดินในแถบนนทบุรี เป็นดินเหนียวที่มีธาตุอาหารของพืชอย่างบริบูรณ์ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากดินในแถบอื่น ๆ ที่มีการปลูกทุเรียน จึงทำให้เนื้อทุเรียนที่มาจากจังหวัดนนทบุรีละเอียด เนื้อหนาและรสดีมาก จึงทำให้ทุเรียนนนท์ มีราคาสูง และเป็นที่ต้องการของตลาด นำรายได้เข้าสู่ชุมชนและจังหวัดนนทบุรีปีละหลายร้อยล้านบาท