บริติช เคานซิล ผนึกกระทรวง อว. เดินหน้าความร่วมมือไทย–สหราชอาณาจักร ผ่านโครงการ ‘Thai-UK World-class University Consortium’ ผลักดันมหาวิทยาลัยไทย ด้านวิจัยและนวัตกรรมสู่ระดับสากล ยกระดับ Ranking ก้าวสู่ท็อป 100 มหาวิทยาลัยโลก

บริติช เคานซิล ผนึกกระทรวง อว. เดินหน้าความร่วมมือไทย–สหราชอาณาจักร ผ่านโครงการ ‘Thai-UK World-class University Consortium’ ผลักดันมหาวิทยาลัยไทย ด้านวิจัยและนวัตกรรมสู่ระดับสากล ยกระดับ Ranking ก้าวสู่ท็อป 100 มหาวิทยาลัยโลก

บริติช เคานซิล ร่วมกับกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เดินหน้าสานต่อความร่วมมือ ไทย – สหราชอาณาจักร ผ่านโครงการ ‘Thai-UK World-class University Consortium’ ในการพัฒนาและส่งเสริมทางด้านการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ผ่านการสร้างเครือข่ายในระดับนานาชาติและปฏิรูปแนวทางการบริหารการเรียนการสอนเชิงวิชาการ และวิจัยขั้นสูง ตลอดจนพัฒนาสถาบันอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อยกระดับการศึกษานำไปสู่การผลิตบัณทิตคุณภาพสูงที่ถือเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนความมั่นคงของประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567

โดยในปี 2567 มีจำนวนมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเข้าร่วมทั้งสิ้น 7 มหาวิทยาลัย ใน 15 สาขาวิชา ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยนเรศวร พร้อมวางเป้าหมายเร่งเครื่องผลักดัน เสริมสร้างขีดความสามารถให้สถาบันอุดมศึกษาไทยเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ และมุ่งสู่ Ranking 100 อันดับมหาวิทยาลัยโลกในอนาคตอันใกล้นี้ต่อไป

มร.แดนนี ไวท์เฮด ผู้อำนวยการ บริติช เคานซิล ประเทศไทย กล่าวว่า โครงการ Thai-UK World-class University Consortium จะดึงเอาสุดยอดความรู้และความเชี่ยวชาญของไทยและสหราชอาณาจักร ทั้งในมุมของนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย นักการศึกษาและมหาวิทยาลัย เพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยไทยและสหราชอาณาจักร เพื่อรับมือกับปัญหาและความท้าทายที่ทั่วโลกต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การเกษตรแบบยั่งยืน สันติภาพและความปลอดภัย รวมไปถึงด้านสุขภาพและสาธารณสุข ความร่วมมือเหล่านี้จะช่วยผลักดันการพัฒนาทางเศรฐกิจ รวมไปถึงสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจระหว่างกันของคนไทยและสหราชอาณาจักร

ทั้งนี้ความสำเร็จตลอดระยะเวลา 3 ปี ของโครงการ สะท้อนผ่าน 23 โครงการ ความร่วมมือระหว่าง 7 มหาวิทยาลัยไทย และ 14 มหาวิทยาลัยสหราชอาณาจักร ด้วยการสนับสนุนจากบริติช เคานซิลและกระทรวง อว. โดยโครงการความร่วมมือเหล่านี้เริ่มส่งผลให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว อาทิ โครงการระหว่างคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี อ.ดร.พญ.นัตวรรณ อุทุมพฤกษ์พร ร่วมกับ University College London จัดการศึกษาระดับหลังปริญญาด้านการแพทย์เฉพาะทางด้านการได้ยิน และการทรงตัวได้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ส่งผลให้ไทยได้เป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมของภูมิภาค เป็นการดึงดูดแพทย์จากประเทศอื่น ๆ เข้ามาเรียนที่จุฬา ฯ นอกจากนั้นความร่วมมือนี้ได้นำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมในการรักษาผู้ป่วยขั้นสูงในด้านการได้ยินและการทรงตัว รวมทั้งการดูแลตรวจคัดกรองด้วยตนเองผ่าน Mobile Application โดยปัจจุบันได้เปิดให้ดาวน์โหลดได้ฟรีสำหรับทุกคน

คุณพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้อำนวยการ กองขับเคลื่อนและพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหัวหน้ากลุ่มภารกิจบริหารยุทธศาสตร์ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า “การพัฒนาและส่งเสริมอุดมศึกษาถือเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนความมั่นคงของประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปี 2567 ทาง อว. มีความพร้อมเดินหน้าปฏิรูปอุดมศึกษาอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเตรียมความพร้อมและตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยความร่วมมือกับทางบริติช เคานซิล ซึ่งเป็นองค์กรนานาชาติในการส่งเสริมการศึกษาผ่าน โครงการความร่วมมือระดับอุดมศึกษา ระหว่างประเทศไทยและสหราช-อาณาจักร (TH-UK World-class University Consortium)

ถือเป็นส่วนหนึ่งบทบาทสำคัญของ อว. ในการสนับสนุนและเปิดโอกาสให้สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยผ่านการจับคู่กับมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทั้งในด้านระบบการเรียนการสอน ระบบบริหารมหาวิทยาลัยจากความเชี่ยวชาญของสหราชอาณาจักร ตลอดจนพัฒนางานวิจัยขั้นสูงที่มีความสอดคล้องกับความต้องการของโลกที่เปลี่ยนไปในปัจจุบันและมีความเชื่อมโยงในระดับสากล อาทิ ด้าน EV-AI Soft Power รวมถึงทางการแพทย์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ สมรรถนะในเชิงการแข่งขันของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยให้ทัดเทียมมหาวิทยาลัยชั้นนำในระดับนานาชาติ นำไปสู่การผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพสูง เพื่อเป็นบุคลากรชั้นแนวหน้าที่พร้อมขับเคลื่อนและสร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติในอนาคตต่อไป”

รศ.ดร.รัฐชาติ มงคลนาวิน ประธานคณะทำงานส่งเสริมและยกระดับสถาบันอุดมศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานในระดับสากล กล่าวเสริมว่า “ความร่วมมือไทย- สหราชอาณาจักร ผ่านโครงการดังกล่าว นอกจากจะเป็นการจับคู่ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานในรูปแบบเครือข่ายของสถาบันอุดมศึกษาไทยกับนานาชาติแล้ว ยังสอดคล้องกับทิศทางแนวนโยบายด้านการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย (Re-inventing University) ในการพัฒนาปรับปรุงระบบนิเวศของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยแบบองค์รวม ทั้งในด้านการปฏิรูประบบบริหารจัดการ ปรับเปลี่ยนหลักสูตรและการเรียนการสอน ที่มุ่งเน้นการสร้างความเป็นเลิศให้กับมหาวิทยาลัยที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เพื่อเสริมสร้างศักยภาพสถาบันอุดมศึกษาสู่เวทีการแข่งขันในระดับนานาชาติ

โดยได้มีการจัดกลุ่มสถาบันอุดมศึกษา เพื่อปฏิรูประบบอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศและพัฒนาความเป็นเลิศตามความเชี่ยวชาญของแต่ละมหาวิทยาลัย โดยได้จัดแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่

  1. กลุ่มพัฒนาการวิจัยขั้นสูงสู่ระดับนานาชาติ
  2. กลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์
  3. กลุ่มพัฒนาชุมชนท้องถิ่นเพื่อการเข้าถึงการร่วมมือ
  4. กลุ่มพัฒนาด้านหลักศาสนาเพื่อเสริมสร้างจริยธรรมและปัญญา
  5. กลุ่มผลิตและพัฒนาทักษะเฉพาะด้านเพื่อผลิตบุคลากรวิชาชีพและสาขาเฉพาะทาง”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภัทรียา กิจเจริญ รองคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้ดำเนินโครงการร่วมกับ University of Reading มาเป็นเวลากว่า 3 ปี ได้เล่าถึงความสำเร็จในการพัฒนาหลักสูตรนานาชาติสองปริญญา (Double Degree) ด้านการออกแบบและพัฒนาสังคม (Society Design Development Programme) มุ่งผลิตผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agents) ที่จะได้มีโอกาสได้ความรู้และวุฒิการศึกษาจากทั้งมหาวิทยาลัยมหิดลและ University of Reading ของสหราชอาณาจักร

โดยศาสตราจารย์ ดร.ศุภจิตรา ชัชวาลย์ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้ดำเนินงานความร่วมมือร่วมกับ The University of Liverpool ได้กล่าวเสริมถึงประโยชน์ในการเข้าร่วมโครงการ ฯ ว่าได้ช่วยให้เกิดการพัฒนางานวิจัยร่วมกันระหว่างนักวิจัยและคณาจารย์จากทั้งสองมหาวิทยาลัย โดยเป็นการใช้ความชำนาญของบุคลากรทั้งสองฝ่ายในการทำโจทย์วิจัยที่มีความสนใจร่วมกัน ทำให้ได้ผลงานวิจัยที่มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น นอกจากนั้นการพัฒนาด้านการวิจัยดังกล่าว มีนิสิตเข้าร่วมในโครงการผ่านหลักสูตรปริญญาเอกสองปริญญา Dual PhD Programme ทำให้เกิดการพัฒนานักวิจัยรุ่นใหม่ร่วมด้วยในโครงการดังกล่าว ซึ่งจะเป็นกำลังคนรุ่นใหม่ในด้านการวิจัยที่เกี่ยวข้องในอนาคต โดยนักวิจัยรุ่นใหม่ของไทยในหลักสูตรได้เริ่มมีการส่งผลงานตีพิมพ์ร่วมกันกับนักวิจัยของสหราชอาณาจักรด้วย

โดยในปีนี้ 2567 นี้โครงการได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว โดยบริติช เคานซิลและกระทรวง อว. ยังคงผสานความร่วมมือกับ 7 สถาบันอุดมศึกษาของไทย ใน 15 สาขาวิชา ได้แก่

  1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 7 สาขา (สาขาวิชาสถาปัตยกรรม สาขาวิศวกรรมเคมี สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาขาแพทย์ศาสตร์ 2 โครงการ สาขาภูมิศาสตร์ สาขาพัฒนศาสตร์)
  2. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำนวน 1 สาขา (สาขาวิชาเกษตรศาสตร์และป่าไม้)
  3. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำนวน 1 สาขา (วิชาแพทยศาสตร์)
  4. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จำนวน 1 สาขา (สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ)
  5. มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 3 สาขา (สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาขาแพทย์ศาสตร์ และสาขาพัฒนศาสตร์)
  6. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำนวน 1 สาขา (สาขาวิชาพัฒนาศาสตร์)
  7. มหาวิทยาลัยนเรศวร จำนวน 1 สาขา (สาขาวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์)

Loading

Share this post


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า